วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561

ภาวะเซ็งเป็ด

ในปี 2050 คนในโลกใบนี้จะเพิ่มจาก 7.3 พันล้าน เป็น 9.7 พันล้าน ผู้สูงอายุจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย อัตราส่วน สว ในประเทศไทยก็จะมากขึ้นตามคาดการณ์ อายุเฉลี่ยก็เพ่ิมเป็นประมาณ 70 ปี สิ่งที่ทุกคนต้องดูแลมากขึ้นคือคุณภาพชีวิต สุขภาพ เพราะผู้สูงอายุมีปัญหาโรคภัยไข้เจ็บอย่างมากมายที่หมอเขาเน้นกันก็พวก NCD เป็นโรคที่เรือรังพวกเบาหวาน ความดัน มะเร็ง ซึ่งทุกคนก็คงต้องเร่ิ่มต้นดูแลตั้งแต่เนิ่นๆ อาจตั้งแต่เริ่ม 40 เป็นต้นไป โดยความเห็นส่วนตัวความคิด ความจำก็สำคัญ เช่นกัน เพราะผู้สูงอายุที่สมองเสื่อม หรือเป็น อัลไซเมอร์ ย่อมต้องได้รับการดูแลจากลูกหลานเป็นพิเศษ นับเป็นปัญหาในอนาคตที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ทางที่ดีเราซึ่งเป็นพ่อแม่ต้องเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ วิธีการที่ผมคิดได้คือทำตัวเหมือนเด็ก เหมือนเพื่อนของลูก ลูกเรียนหนังสือบวก ลบ แก้โจทย์ปัญหาก็ทำไปพร้อมกับลูก ลูกเล่นหมากรุก เล่นบริดจ์ ก็เล่นกับลูก ชวนลูกเปลี่ยนจากเกมส์คอม มาเป็นเกมกระดาน ก็จะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ลูกทำการบ้านก็ลองให้คำปรึกษาร่วมมือ อ่านคิดไปกับลูก อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของครูอย่างเดียว เพราะครูก็ใช่ว่าจะเป๊ะ บางครั้งครูก็มั่ว ก็ดำน้ำได้เหมือนกัน
แม้แต่การที่ลูกเล่นเกมส์ เล่นการ์ด เล่นตุ๊กตา พวกเราพ่อแม่ก็ควรใส่ใจด้วยว่า เขาชอบอะไร ตรงไหน รายละเอียด ความรู้สึกเขาเป็นอย่างไร มากกว่าการที่จะไปห้ามทำโน่น ห้ามทำนี่เพียงอย่างเดียว หรืออีกแบบปล่อยเลยดีไหมอันนี้ผมว่าพังเลยเพราะเด็กก็ยังเป็นเด็กไม่รู้ว่าอะไรมากเกินไป น้อยเกินไปเขาก็ยังต้องการเรา ต้องการคำปรึกษาของเราอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่กำลังเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังอยู่ก็คือเราต้องอยู่ในสังคม ไม่อยูู่่คนเดียว เราต้องแลกเปลี่ยน เราต้องพูดคุยทักทาย ถามสารทุกข์ สุกดิบของคนอื่น สิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งการเรียนรู้ ความคิดซึ่งมีอยู่ตลอดชีวิต ไม่ใช่รวยแล้วทุกอย่างก็จบ ต่อให้เรารวยมีทุกสิ่งทุกอย่าง หากปลายทางเราอยู่ในสภาพทียืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองไม่ได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ช่วยคนอื่นไม่ต้องพูดถึง เราคงมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกหดหู่ ไม่สนุก ไม่เร้าใจ อาจถึงขั้นซึมเศร้าเหมือนในข่าวหรือเปล่า ก็แล้วแต่บุคคล เป็นกรณีไป ที่แน่ๆเราย่อมต้องอยู่ในภาวะที่เรียกว่า เซ็งเป็ด อย่างแน่นอน
 ในแต่ละวันเราทุกคนต้องตื่นขึ้นมาทำหน้าที่ของตน ใช้แรง ใช้สมอง ต่อสู้กับปัญหาในแต่ละวัน ซึ่งชัดเจนว่าเราต้องการพลังงานจากอาหาร เครื่องดื่ม เพื่อเข้าไปเป็นเชื้อเพลิงหมุนเวียนในร่างกาย แต่เราคงต้องยอมรับว่าน้อยคนที่จะตรวจสอบ เตรียนความพร้อมเครื่องยนต์หรือร่างกายของเราอย่างครบถ้วน บางคนออกกำลังกาย ดูแลกล้ามเนื้อ แขน ขา เพ่ิ่ม six pack แต่แทบไม่มีใครฝึกสมองก่อนทำงานเลย ก่อนไปเรียนผมเคยฝึกคิดเลขเร็วก่อนซัก 5-10 ข้อ นับเป็นการกระตุ้นสมองที่ดี อีกอันเวลาเข้าร้านสะดวกซื้อ ซื้อของเสร็จก็ลองมาทบทวนว่าไปซื้ออะไรไปบ้าง ลองบวกลบคูณหารว่าได้ผลลัพธ์ตรงกับบิลที่ได้รับหรือไม่ พยายามใช้การบวกลบในใจบ้าง ดินสอทดบ้าง งดการใช้เครื่องคิดเลขแบบนี้ย่อมให้สมองของเราได้แสดงบทบาททำงานได้เต็มที่่ เต็มศักยภาพ เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ที่มีคุณภาพจริงๆ วิธีการนี้เมื่อเสริมกับการดื่มน้ำ การกินปลาที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ มี DHA ก็น่าจะช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพของสมองพวกเราได้เป็นอย่างดี 
                 

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2561

การเรียนคณิตศาสตร์ให้อะไร?

   หลายครั้งที่ผมถามตัวเองว่าการเรียนคณิตมีประโยชน์อะไรกับตัวเรา เพราะคนรอบข้างมักมองว่าความจำเป็นที่เราต้องรู้ลึกซึ้ง มันไม่จำเป็นหรอกแค่ให้พอใช้สอยได้ พูดง่ายๆแค่พอรอด พอผ่านก็พอ แต่พอเราตั้งเป้าหมายไว้ต่ำ ผลลัพธ์คือเราไม่เข้าใจ อธิบายเหตุการณ์ สิ่งต่างๆอะไรแทบไม่ได้เลย ไม่มีความชัดเจน ความถ่องแท้ ทุกอย่างดูโปร่งๆ เลือนลาง คณิตก็ไม่ไป วิทยาศาสตร์ก็ไม่มา แต่พอเราเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเอาให้รู้ชัดๆ เข้าใจเนื้อๆ แก้ปัญหาแบบแน้นๆ ทุกอย่างก็เร่ิมคลี่คลายไปในทางที่ดี วิทยาศาสตร์ก็เข้าใจ ช่วงนี้ผมสนใจการคำนวณความน่าจะเป็นให้โยงไปกับ game theory ซึ่งส่งต่อไปยังแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคม เข้าใจชีวิตมากขึ้น มองโลกมุมใหม่ได้กว้างขึ้น
   ผมเริ่มต้นด้วยการเป็นเด็กเรียน ตั้งใจเรียนตามการปลูกฝังของพ่อแม่ ครอบครัว บรรพบุรุษ ความเก่งที่ได้มาน่าจะได้มาจากบรรพบุรุษก็ส่วนหนึ่ง ก็ด้วยความขยันขันแข็งส่วนหนึ่ง ว่าไปแล้ววัยเด็กผมชีวิตส่วนใหญ่ก็มีแต่วิชาคำนวณ กลับบ้านแต่ละวันถ้าหน้าที่หลักเสร็จ ก็คิดโจทย์คณิต เพื่อการเป็นตัวแทน เพื่อเกรด เพื่อเป็นที่ 1 หรือเพื่อใบประกาศอะไรก็แล้วแต่ เวลาส่วนใหญ่หรือแทบทั้งหมดก็อุทิศแก่สิ่งเหล่านี้ แล้วผมได้อะไร คุ้มค่าหรือไม่ กับส่ิ่งที่ทุ่มลงไป เมื่อผมลงทุนไปแล้วสิ่งที่ผมได้มันเพียงแค่เกียรติยศ ชื่อเสียงหรือไม่ แน่นอนผมได้มันมาหลากหลายรูปแบบ เป็นที่น่าพึงพอใจ จนผมได้รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นที่ได้มาล้วนเป็นประเด็นรอง ประเด็นหลักคือผมยังเป็นมนุษย์ที่อยู่ในเส้นทางของนักคิด ที่ยึดหลักการณ์ ยึดทฤษฏี นิยาม กฏ มีตรรกะ ช่างสังเกต จดจำ เชื่อมั่นในบทพิสูจน์ที่ถูกบ้าง ผิดบ้าง รู้จักแลกเปลี่ยนทางความคิดกับน้อง เพื่อน นักคณิตศาสตร์ผ่านทางทฏษฏีที่เขาเหล่านั้นฝากไว้
   เด็กรุ่นลูกคนหนึ่ง เก่งเป็นต้นๆของประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่าเขาอยากสอน อยากทำให้คนรอบข้างรัก และสนใจในคณิตศาสตร์ ผมนี่อึ้งเลย เพราะเรารู้ว่านี่เป็นแค่ภาพฝัน นี่มันจินตนาการตอนกลางวันชัดๆ อย่างไรก็ตามผมคนหนึ่งที่จะร่วมปณิธานเขาด้วย ผมหวังว่าคนรอบตัวจะชอบใช้ตัวเลข อาศัยตัวเลข สื่อ สัญลักษณ์นี้เพื่อดำรงชีวิตอยู่ อย่างรู้ทันและเข้าใจ ดำรงไว้ซึ่งมิตรภาพ ความจำ ความคิด สถิตไว้ ณ สมอง ซึ่งบรรเจิด เพริศแพร้ว อันเป็นมาตรวัดแห่งการมีอยู่ของทุกลมหายใจ
                                                                                                 กริชชัย
                                                                                               13 09 2018